ตลาดญี่ปุ่นเติบโตสูงสุด 60% ในปีที่แล้ว

Views 222 Date of filming
Print
ตลาดญี่ปุ่นเติบโตสูงสุด 60% ในปีที่แล้ว
ผู้บริโภคที่กําลังมองหาสินค้าที่ดีในราคาที่เหมาะสม และการช้อปปิ้งออนไลน์กําลังขยายตัว - และจะขยายตัวต่อไปในปีนี้

 
ปีนี้ครบรอบ 10 ปีของสาขาญี่ปุ่น แม้จะเกิดโศกนาฏกรรมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทางภาคตะวันออกของญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2011 แต่สาขาญี่ปุ่น (ซึ่งเปิดในปี 2011) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษจนถึงปีที่แล้วเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้แก่สมาชิก มีข้อกังวลมากมายเกี่ยวกับการเปิดตลาดญี่ปุ่น นั่นเป็นเพราะผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นมักจะสนใจในผลิตภัณฑ์คุณภาพเยี่ยมของโลก ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่นเท่านั้น, ตลาดขายตรงที่ยังคงซบเซามานานกว่า 10 ปี และความวิตกกังวลจากปัญหาทางการเมืองระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่น 
 
 
 
 
อัตราการเติบโต 60% ในปี 2020
ในปี 2020 ตลาดญี่ปุ่นทํายอดขายได้ 35.8 พันล้านวอน (31.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 60% เมื่อเทียบกับปี 2019 แม้แต่สถานการณ์โควิด-19 ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดญี่ปุ่น ในบรรดาปัจจัยสําคัญที่ส่งเสริมการเติบโต Han-Bit Park กรรมการผู้จัดการของอะโทมี่ ญี่ปุ่นกล่าวว่า "ในสถานการณ์ที่ยากลําบากนี้ ผลิตภัณฑ์ดีราคาถูกมีบทบาทสําคัญ" เขาเสริมว่า "ด้วยกระแสการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้จํานวนคนที่รีวิวและมีส่วนร่วมในอะโทมี่ในแง่ของธุรกิจ ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน" การหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้อะโทมี่ได้รับความสนใจมากขึ้นในฐานะโอกาสทางธุรกิจ ขณะที่กระแสการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นก็ถือเป็นโอกาสของอะโทมี่ด้วย นอกจากนี้ ความต้องการสินค้าดีราคาถูกก็เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดญี่ปุ่นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในปี 2011 ตลาดญี่ปุ่นมียอดขาย 3.5 พันล้านวอน (3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ผลลัพธ์ที่ได้นี้ถือว่าดีเมื่อคำนึงถึงว่าตลาดเน็ตเวิร์ค มาร์เก็ตติ้งกําลังหดตัว อุปนิสัยของชาวญี่ปุ่นที่ไม่ชอบรบกวนคนอื่น และภาวะที่ยังย่ำแย่ภายหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ทางภาคตะวันออกของญี่ปุ่น ในปี 2015 บริษัททำยอดขายได้สูงกว่า 10 พันล้านวอน (9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งใช้เวลาเพียงห้าปีหลังจากเข้าสู่ตลาดนี้ที่มียอดขายจำนวน 11 พันล้านวอน (8.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จํานวนนักธุรกิจที่ทำเต็มตัวนั้นเพิ่มขึ้นช้ามากจากการจัดสัมมนาซัคเซส อะคาเดมี่แบบวันเดียว เนื่องจากภาระของการจัดงานอีเวนท์แบบสองวันของซัคเซส อะคาเดมี่

แม้ว่าจะเติบโตเพียงเล็กน้อย แต่ความกระตือรือร้นของตลาดญี่ปุ่นนั้นนับว่าสูงมาก คนญี่ปุ่นมีสํานึกในความเป็นท้องถิ่นนิยมอย่างแรงกล้า ดังนั้นพวกเขาจึงลังเลที่จะเข้าร่วมในงานสัมมนาที่จัดขึ้นในจังหวัดอื่น ๆ ด้วยเหตุผลนี้ จึงจําเป็นต้องเข้าไปแต่ละภูมิภาคและจัดงานสัมมนาแยกจากกัน นอกจากนี้ เนื่องจากค่าขนส่งในญี่ปุ่นสูงมาก การจัดงานสัมมนาจึงต้องดําเนินการในลักษณะทัวร์ทั่วประเทศ พร้อมอุปกรณ์วิดีโอที่บรรทุกอยู่บนรถขนาด 10 ที่นั่ง แน่นอนว่าการดำเนินการที่ยากลำบากนี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยความกระตือรือร้นและความเสียสละของพนักงาน และสิ่งที่ตามมาก็คือ จํานวนสมาชิกที่เข้าร่วมการสัมมนาค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ในปี 2012 จํานวนสมาชิกที่เข้าร่วมการสัมมนามีเพียง 1,000 คน และเพิ่มเป็นมากกว่า 10,000 คนในปี 2015 และมากกว่า 20,000 คนในปี 2017


ความสําเร็จที่ไม่มีเฮโมฮิม 
เหตุผลหนึ่งที่ทําให้อัตราเติบโตของยอดขายในญี่ปุ่นมีความหมายก็เพราะการเติบโตนี้ไม่มีเฮโมฮิม ผลิตภัณฑ์หลักของอะโทมี่ ในปี 2020 เฮโมฮิมมียอดขายมากกว่า 300 พันล้านวอน (261 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในทั่วโลก หรือคิดเป็น 17.5% ของยอดขายของอะโทมี่ทั่วโลก นอกจากจะมีสัดส่วนยอดขายสูงสุดแล้ว ยังกล่าวได้ว่าผลิตภัณฑ์นี้คือสัญลักษณ์ของอะโทมี่ อย่างไรก็ตาม เฮโมฮิมไม่สามารถจดทะเบียนในญี่ปุ่นได้ เนื่องจากส่วนประกอบของเฮโมฮิมได้ถูกจัดให้เป็นยาในประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเป็นตลาดขั้นสูงที่มีเทคโนโลยีไอทีที่พัฒนาแล้วเป็นอย่างมาก แต่เป็นที่น่าแปลกที่ญี่ปุ่นกลับไม่ค่อยนำเทคโนโลยีไอทีมาปรับใช้ในชีวิตประจําวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาร์ทโฟนยังคงไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่คนญี่ปุ่นวัยกลางคน แม้ว่าสถานการณ์นี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะปรับตัว อันที่จริง จากผล “การสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคจาก 11 ประเทศเอเชีย” ของ Opensurvey ระบุว่าทั้งความถี่และปริมาณการซื้อสินค้าทางออนไลน์ในญี่ปุ่นนั้นสูงกว่าแบบออฟไลน์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ตอบแบบสํารวจเพียง 3.1% กล่าวว่าพวกเขาซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่าหนึ่งครั้งในทุก ๆ สามวัน 

อย่างไรก็ตาม ตลาดญี่ปุ่นก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในการเติบโต เหตุผลก็เพราะกระแสความนิยมในการช้อปปิ้งออนไลน์ รวมทั้งจํานวนผู้บริโภคที่กําลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีในราคาสมเหตุสมผล สองสิ่งนี้จึงเป็นส่วนที่ดีของสถานการณ์โควิด-19 และในขณะเดียวกัน ก็เป็นจุดแข็งสำคัญที่สุดของอะโทมี่ สถานการณ์โควิด-19 เป็นโอกาสสําหรับตลาดญี่ปุ่น" ปาร์ค ฮันบิท กรรมการผู้จัดการของอะโทมี่ ญี่ปุ่น กล่าว "เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปีโดยไม่รีบร้อน"


GSGS คุณภาพสูงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของญี่ปุ่นจะได้รับการเร่งให้เติบโตเร็วขึ้น
เมื่อพูดถึง GSGS ซึ่งเป็นกลยุทธ์ระดับโลกของอะโทมี่ ตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่เราไม่สามารถมองข้ามได้ ทั้งนี้เนื่องจากผลิตภัณฑ์พรีเมียม ลูทีน ถุงน่องซัพพอร์ต และแคลเซียมล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ของ GSGS ของสาขาญี่ปุ่น นับตั้งแต่การเปิดตัวถุงน่องซัพพอร์ตในปี 2016 ตลาดญี่ปุ่นก็ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ อะโทมี่ พรีเมียม ลูทีน 30 ในปี 2018 และปัจจุบันได้จัดหา จําหน่าย และส่งออกผลิตภัณฑ์ 13 ชนิด ซึ่งรวมถึงอาหารเพื่อสุขภาพ 5 ชนิด เสื้อผ้า 5 รายการ และสินค้าเบ็ดเตล็ด 3 รายการ โดยเน้นที่ผลิตภัณฑ์แคปซูล เมื่อปีที่แล้ว บริษัทได้ส่งออกไปยังบริษัทสาขา 5 แห่งโดยมีมูลค่า 2.2 พันล้านวอน (1.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ “ด้วยเทคโนโลยีที่ละเอียดอ่อนและผลิตภัณฑ์ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการซึ่งมีคุณภาพสูง บริษัทได้รับรีวิวที่น่าพอใจในหลายตลาด ซึ่งรวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย” เจ้าหน้าที่ GSGS กล่าว "เรามุ่งมั่นที่จะเติบโตสู่การเป็นฐานกลยุทธ์ GSGS ในการจัดหาสินค้าระหว่างประเทศของอะโทมี่ ด้วยคุณค่าของข้อความ "ผลิตในญี่ปุ่น" และการมีต้นทุนต่ำ"

 

อะโทมี่ ตัวเลือกที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิต “ผลิตภัณฑ์ที่ขายได้ด้วยตัวผลิตภัณฑ์เอง คุณเพียงแค่ต้องมีความมั่นใจ เพื่อก้าวสู่ความสําเร็จ"
การสัมภาษณ์สมาชิก
มิตซึกิ
ฟูจิโมโตะ รอยัล มาสเตอร์


"ผลิตภัณฑ์อะโทมี่ขายได้ด้วยตัวเอง แม้แต่ในประเทศอื่น ๆ ที่ฉันไม่รู้จักใครเลย" คําพูดของรอยัล มาสเตอร์ท่านนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในอะโทมี่ ผลิตภัณฑ์ และความสําเร็จของเธอ ดังนั้นเธอจึงบอกว่า ถ้าคุณมีเหตุผลที่ต้องการจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยยากเพียงใดก็ตาม โปรดอย่าลังเลใจในการเลือกอะโทมี่เพื่อประโยชน์ของผู้คนที่คุณรัก “จงไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และบริษัทของคุณ และทุ่มเทความมุ่งมั่นและความพยายามของคุณในการพบปะผู้คน และความสําเร็จที่คุณวาดฝันไว้ก็จะกลายเป็นจริง”

เธอรู้จักกับอะโทมี่ด้วยความบังเอิญ คนใกล้ชิดคนหนึ่งของเธอสปอนเซอร์เธอโดยใช้เครื่องสําอางอะโทมี่ในงานเลี้ยงบาร์บีคิวกลางแจ้ง มิตซึกิ ฟูจิโมโตะ เคยใช้เครื่องสําอางราคาแพง แจกผลิตภัณฑ์อะโทมี่ทั้งหมดที่เธอได้รับให้แก่ผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ และเธอก็ลืมเรื่องราวเหล่านั้นไป หลังจากนั้นราวหกเดือน คนใกล้ชิดคนหนึ่งได้เข้าร่วมงานปาร์ตี้บาบีคิวได้ติดต่อมาหาเธอและขอซื้อ “อะโทมี่ ดีพคลีนเซอร์” “หลังจากทํางานล่วงเวลาเป็นประจําและกลับบ้านดึก ฉันมักจะผล็อยหลับไปกับ “อะโทมี่ ดีพคลีนเซอร์” จนถึงรุ่งเช้า แต่ผิวของฉันก็ไม่เสีย แต่กลับดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นฉันจึงเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์นี้ และเมื่อฉันใช้ไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าผลิตภัณฑ์นี้ดีกว่าเครื่องสำอางราคาแพงที่ฉันเคยใช้ แถมราคาก็ถูกกว่ากันเป็นสิบเท่า”

เธอรู้สึกประทับใจอย่างแท้จริง เธอทํางานเพื่อกลุ่มธุรกิจชั้นนำ แต่ชีวิตกลับเป็นเรื่องยาก เธอตระหนักว่าการมีอาชีพพนักงานออฟฟิศคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอได้ จึงตัดสินใจลาออกจากบริษัทเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าใหม่ ๆ จากนั้นเธอได้เริ่มต้นธุรกิจอะโทมี่โดยใช้จุดแข็งของเธอ โดยเธอจำได้ถึงเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ของเธอ โดยในเวลานั้นเธอมีงานยุ่งมากและพยายามที่จะก้าวขึ้นเป็นสตาร์ มาสเตอร์ เธอสังเกตเห็นว่าเธอมาร่วมงานสัมมนาโดยสวมรองเท้าส้นสูงคนละข้างกัน แน่นอนว่าแบบของรองเท้าและความสูงของรองเท้าแต่ละข้างแตกต่างกัน แต่เธอกลับไม่ได้สังเกตเห็นก่อนหน้านี้เลย เธอมุ่งให้ความสําคัญไปที่เนื้อหาในการสัมมนาอย่างเต็มที่ "พาร์ทเนอร์คิดว่าการสวมรองเท้าส้นสูงข้างละแบบกำลังเป็นแฟชั่นใหม่ ฉันภูมิใจในตัวเองที่มีส่วนร่วมในธุรกิจอะโทมี่ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้านี้”

แม้แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความมุ่งมั่นของรอยัลมาสเตอร์คนนี้ได้ ธุรกิจอะโทมี่คล้ายกับเหตุการณ์ปาฏิหาริย์และเป็นความสุขสําหรับเธอ ผู้ที่ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมเพราะการเจ็บป่วยของเธอ เมื่อการขายแบบออฟไลน์ไม่สามารถทำได้ เธอจึงหันมามุ่งที่การขายออนไลน์ และไม่มีแม้แต่เวลาที่จะกังวลใจกับโควิด-19 สิ่งที่เธอกลัวมากกว่าก็คือ การต้องใช้ชีวิตอย่างยากไร้ไปจนตลอดชีวิต และสิ่งที่เธอสามารถวางใจและพึ่งพาได้ในสถานการณ์ดังกล่าวก็คือความสําเร็จที่อะโทมี่มอบให้ แม้แต่ในประเทศอื่น ๆ ซึ่งไม่มีใครจะซื้อผลิตภัณฑ์จากเธอ แต่ก็ยังมีการสร้างสายสัมพันธ์และการซื้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเพราะคุณภาพที่ยอดเยี่ยมของผลิตภัณฑ์อะโทมี่ “ผลิตภัณฑ์ที่ขายได้ด้วยตัวผลิตภัณฑ์เอง การเดินทางครั้งนี้ยากลำบากและโดดเดี่ยว แต่ฉันคิดว่าฉันมาถึงตรงนี้ได้เพราะมีบริษัทที่คอยดูแลใส่ใจฉัน นอกเหนือจากครอบครัวและพาร์ทเนอร์ของฉัน ฉันจะพยายามไม่ลืมเรื่องนี้และใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างซื่อสัตย์ด้วยความสำนึกในสิ่งที่ได้รับ” 

รอยัล มาสเตอร์ มิตซึกิ ฟูจิโมโตะเชื่อว่า คําตอบสําหรับคําถามทุกข้อนั้นอยู่ที่การออกไปพบปะลูกค้า เธอเชื่อมั่นในความสําเร็จของเธอ และเหนืออื่นใด เธอเชื่อในคุณภาพของผลิตภัณฑ์อะโทมี่และตัวบริษัทอะโทมี่ ด้วยความเชื่อมั่นดังกล่าว เธอได้แนะนำพาร์ทเนอร์ทุกคนที่เธอพบให้รู้จักกับระบบสู่ความสำเร็จของอะโทมี่ และความพยายามดังกล่าวได้ช่วยให้เธอก้าวขึ้นเป็นรอยัล มาสเตอร์ "ย่อหน้าโปรดของฉันในพระคัมภีร์ก็คือ “จงไปเถิด จะเป็นไปตามที่ท่านเชื่อ” ฉันหวังว่าสมาชิกของอะโทมี่ทุกคนจะเชื่อมั่นในความสําเร็จและมีชีวิตที่เปี่ยมล้นเพื่อแบ่งปันกับบรรดาคนที่พวกเขารัก"


โควิด-19 ไม่ใช่วิกฤต แต่คือโอกาส "รูปแบบใน อุตสาหกรรมขายตรงของญี่ปุ่น”
ปาร์ค ฮันบิท
กรรมการผู้จัดการของอะโทมี่ ญี่ปุ่น


"ผมรู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไป 10 ปีเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง” นี่คือความทรงจำของปาร์ค ฮันบิท กรรมการผู้จัดการของอะโทมี่ ญี่ปุ่น มีต่อช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คนญี่ปุ่นมีความภักดีต่อแบรนด์ในประเทศของตนสูงที่สุดของโลก และไม่ใช่ตลาดที่บริษัทจัดจําหน่ายต่างสัญชาติจะมาลงหลักปักฐานได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ อะโทมี่ยังเป็นบริษัทเกาหลี คงไม่ใช่การกล่าวเกินจริงหากจะบอกว่า การที่อะโทมี่ ญี่ปุ่น สามารถเติบโตขึ้นเป็นบริษัทที่อยู่มาจนครบรอบ 10 ปีได้นั้น เป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างมาก

"มีการคาดการณ์มากมาย และมุมมองเกี่ยวกับอุปสรรคของการขายตรง รวมไปถึงประเด็นทางการเมืองที่ทำให้อนาคตดูไม่สดใสนัก สิ่งเดียวที่สร้างความเชื่อมั่นก็คือคําพูดของท่านประธานที่ว่า “ผลิตภัณฑ์คุณภาพดีราคาถูกสามารถขายที่ไหนก็ได้ในโลก" ตอนนี้เรารู้แล้วว่า Absolute Quality Absolute Price (คุณภาพชั้นเยี่ยมในราคาย่อมเยา) ได้ผลเสมอในทุกที่ทั่วโลก แต่ในปี 2011 ผมยังคงมีข้อกังขา แม้ว่าผมคิดว่ามันคงได้ผล แต่สำนึกในข้อเท็จจริงของผมก็ยังคงไม่มั่นคงนัก ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือประเทศญี่ปุ่น ทั้งซัมซุงและอะมอร์แปซิฟิก (Amorepacific) รวมไปถึงฮุนได มอเตอร์ก็ไม่สามารถประสบความสําเร็จในญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นมีประวัติศาสตร์เน็ตเวิร์ค มาร์เก็ตติ้งที่ยาวนานกว่าเกาหลี แต่ขนาดตลาดหดตัวลงจากที่เคยพุ่งสูงสุดในปี 1996 นอกจากนี้ บริษัทในประเทศของญี่ปุ่น (ซึ่งแตกต่างจากเกาหลี) ยังครองสัดส่วนใหญ่ของผลิตภัณฑ์และการบริโภค เขาสงสัยว่าอะโทมี่ (บริษัทขายตรงที่ยังไม่เป็นที่รู้จักเลยในปี 2011) จะยืนระยะได้นานแค่ไหนในญี่ปุ่น

ในระยะเวลา 10 ปี มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ในช่วงระยะเวลานั้น ตลาดญี่ปุ่นได้มอบผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมซึ่งต้องใช้เวลาและประสบความสําเร็จเช่นทุกที่ในทั่วโลก หากเป็นไปตามหลักการที่ว่าผู้บริโภคไม่มีทางปฏิเสธสินค้าที่ถูกและดี นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ถึงศักยภาพของการเติบโตในอนาคตของญี่ปุ่นและปรากฏให้เห็นในชีวิตจริง กล่าวกันว่า ในญี่ปุ่นนั้น บริษัทที่อยู่ได้นานถึง 10 ปีก็ได้เข้าสู่ก้าวแรกของการเป็นบริษัทที่มีอายุยืนยาวแล้ว ดูเหมือนว่าตลาดญี่ปุ่นเพิ่งจะเริ่มการเดินทางสู่การเป็นบริษัทชั้นนำของธุรกิจขายตรงในประเทศญี่ปุ่น ดังคำพูดที่ว่า "เริ่มต้นดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง” อะโทมี่ ญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มต้นด้วยเป้าหมายในการเป็นบริษัทชั้นนําในอุตสาหกรรมญี่ปุ่น คิดว่า ธุรกิจนี้มีจุดเริ่มต้นที่ดี

โควิด-19 คือจุดเปลี่ยนในตลาดญี่ปุ่น แน่นอนว่ามีความกังวลเนื่องจากข้อจํากัดต่าง ๆ เกี่ยวกับการสัมมนาแบบออฟไลน์ในตลาดนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทของเราญี่ปุ่นได้ทำสถิติการมีอัตราเติบโตที่สูงที่สุดในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2020 จุดแข็งของอะโทมี่ได้รับการเปิดเผยด้วยศักยภาพของการมีสินค้าคุณภาพดีราคาย่อมเยา และกระแสการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น "สถานการณ์ที่ยากลําบากทําให้ผู้บริโภคมองหาสินค้าคุณภาพดีและราคาถูก และด้วยการกลับมาของกระแสการช้อปปิ้งออนไลน์ ทำให้มีลูกค้าหันมารีวิวอะโทมี่เพิ่มมากขึ้น เราคาดหวังที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้”

ตลาดญี่ปุ่นวางแผนที่จะมุ่งเน้นการสนับสนุนกิจกรรมของผู้นําเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทวางแผนที่จะขยายจุดแข็งของอะโทมี่ออกไป โดยการส่งเสริมการขายที่สามารถถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของอะโทมี่ผ่านงานสัมมนา ในขณะเดียวกัน บริษัทก็วางแผนที่จะใช้ระบบการศึกษาออนไลน์ที่เน้นการมีส่วนร่วมซึ่งเปิดโอกาสให้แก่บรรดาผู้นําและสมาชิกที่ยังคงไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมการซื้อขายออนไลน์ ด้วยวิธีการนี้ หากสมาชิกเข้าใจถึงความเป็นไปได้ วิสัยทัศน์ และความรู้ความชํานาญของเน็ตเวิร์ค มาร์เก็ตติ้งทางออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ก็คาดว่าฐานการเติบโตในตลาดญี่ปุ่นจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น มีคํากล่าวที่ว่า “หนทางไกลนับหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก” เราต้องการจะเติบโตขึ้นเป็นบริษัทต้นแบบในตลาดขายตรงของญี่ปุ่น ในฐานะบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและมีความอ่อนน้อมถ่อมตนในญี่ปุ่นโดยไม่รีบร้อน เราต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า อะโทมี่สามารถเติบโตและบรรลุคุณค่าที่แท้จริงของความสําเร็จของลูกค้า ไม่ว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจจะยากลําบากเพียงใดก็ตาม"

Editor_ Young-Min Lee 

인터넷 익스플로러 사용자는 [도구]-[호환성보기] 를 클릭하여 호환성보기를 해제하여 주시기 바랍니다.

    LOG IN

    GLOBAL GSMC